[รีวิว] สัตว์สยองกยองซอง gyeongseong creature : ใครกันแน่ที่เป็นสัตว์สยอง

หัวข้อสำคัญ

gyeongseong creature ซีรีส์ฟอร์มยักษ์ของ Netflix ส่งท้ายปี 2023 กับเรื่องราวระทึกขวัญ สะเทือนอารมณ์ กระชากหัวใจและจิตวิญญาณของคนที่ถูกกดขี่ เรื่องราวแห่งความขมขื่นในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1945 ช่วงเวลาที่ชีวิตกำลังถูกกลืนกิน เต็มไปด้วยความขมขื่น และการเอาตัวรอดจากสัตว์ประหลาดที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความโลภ จนโชซอนต้องลุกเป็นไฟ แต่สัตว์ประหลาดที่ว่าไม่ได้มีเพียงตัวเดียวเท่านั้นน่ะสิ

สัตว์สยองกยองซอง (Gyeongseong creature) : เล่าเรื่องราวของกลุ่มคนที่ลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรม และต้องเอาชีวิตรอดจากอสุรกายที่ถือกำเนิดมาจากน้ำมือมนุษย์บางจำพวก ในฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม ปี 1945 วันที่กยองซอง (ชื่อเดิมของกรุงโซล) ถูกกลืนกินอยางไม่เหลือซากจากเจ้าอาณานิคม ‘จางแทซัง’ (พักซอจุน) ชายหนุ่มที่เห็นแก่เงินและการเอาตัวรอดมาก่อนสิ่งอื่นใด เจ้าของคลังสมบัติทอง โรงรับจำนำที่ร่ำรวยที่สุดในกยองซอง ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับ ‘ยุนแซอ๊ก’ (ฮันโซฮี) นักแกะรอย ที่มีเป้าหมายในชีวิตแตกต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง การพบกันครั้งนี้ได้ทำให้ความหมายของการ ‘มีชีวิตอยู่’ ของเขาชัดเจนขึ้น และพร้อมจะทำบางสิ่งบางอย่างร่วมไปกับเธอ อย่างไม่เสียดายชีวิต

gyeongseong creature ใครกันแน่ที่เป็นสัตว์สยอง

gyeongseong creature แน่นอนว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์แนวเอาตัวรอดจากสัตว์ประหลาด ไม่ผิดหรอก แต่สัตว์ประหลาดที่ว่าไม่ได้มีเพียงสัตว์สยองหน้าตาน่าเกลียดเท่านั้น หากแต่มาในคราบของมนุษย์ด้วยกันที่น่ากลัวกว่านั้นหลายเท่า สายไซไฟ ระทึกขวัญอาจต้องรอลุ้นกันสักหน่อยกว่าขวัญจะถูกกระตุกให้ระทึก แต่สายดราม่าอิงประวัติศาสตร์ จะได้รับความรู้สึกนั้นไปอย่างเต็มอกตั้งแต่ตอนแรกกันเลยทีเดียว

เพราะ ‘Gyeongseong creature’ คือซีรีส์ที่ถูกสลักหลังไว้ด้วยควาบคับแค้นของชาวเกาหลีที่ถูกปกครองโดยญี่ปุ่น ยาวนาน 35 ปี (1910-1945) และความคับแค้นนั้นได้กลั่นออกมาเป็นบทละครที่ถึงพริกถึงขิง โดยใช้ฉากหลังเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม ปี 1945 ปีสุดท้ายที่ญี่ปุ่นได้ปกครองเกาหลีก่อนที่จะถูกสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดที่ฮิโรชีม่าและนางาซากิ จนได้ปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปแบบเสร็จลุงแซม ซีรีส์เล่าถึงมุมมองที่คนเกาหลีมีต่อคนญี่ปุ่น แน่นอนว่าในหน้าประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่วรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ ‘วันที่ฉันชื่อเคโอะโกะ’ ของ Linda Sue Park ก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความขมขื่นนั้นเอาไว้ ว่าในช่วงเวลา 35 ปีที่ตกเป็นเบี้ยล่างนั้น พวกเขามีวันที่ต้องเสียกรรมสิทธิ์ที่ดินให้คนญี่ปุ่น มีวันที่วัฒนธรรมเกาหลีแทบไม่เหลืออยู่ในระบบการศึกษา มีวันที่ภาษาเกาหลีพูดได้แต่ในบ้าน มีวันที่ชาวเกาหลีต้องเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นหากอยากมีสิทธิทางสังคม และอื่น ๆ อีกมากมายที่พวกเขากำลังถูกกลืนกิน

ซีรีส์ใส่ความขมขื่นนั้นเอาไว้ผ่านการเอาตัวรอดหลายรูปแบบของตัวละคร ทั้งคนมีฐานะอย่างจางแทซังที่เอาตัวรอดด้วยการคบค้ากับคนทุกชนชาติ หรือแม้แต่การเป็นนักแกะรอยของยุนแซอ๊กที่ตามหาบางอย่างมาจากแมนจูเรีย และการมีกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวอย่างเงียบ ๆ เพื่อต่อต้าน แม้จะถูกทารุณกรรมก็อยากที่จะลุกขึ้นสู้ดูสักครั้ง ซึ่งซีรีส์ใช้การนำเสนอแบบซ้อนทับ ที่ผู้เขียนถือว่าไม่ธรรมดาเลยที่เขียนออกมาแบบนี้ เพราะเขาทั้งระบายความขมขื่นในใจไปพร้อม ๆ กับการประณามผู้กระทำอย่างโจ่งแจ้ง ซีรีส์ใช้ความคับแค้นและเส้นแบ่งทางประวัติศาสตร์มาก่นด่าอย่างจงใจ ชนิดที่ถ้าเป็นป้าข้างบ้านก็ถือว่าแกกำลังยืนเท้าสะเอวแล้วตะโกนด่าไอ้หัวขโมย ที่มานั่งกินข้าวอย่างมูมมาม ทำบ้านเลอะเทอะ แล้วเอาเท้าพาดโต๊ะตัวโปรดของแกแบบไร้มารยาทกันเลยทีเดียว และเมื่อความคับแค้นถูกโยงไปที่ฉากหลังของประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น ซีรีส์ก็เปิดฉากตอนแรกออกมาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใคร ด้วยการใส่บทตัวร้ายให้ชาวอาทิตย์อุทัยอย่างเต็มเหนี่ยว โดยหยิบเอาหัวเชื้อของเหตุการณ์มนุษย์ทดลองในหน่วย 731 (Unit 731) มาเล่นอย่างคั่งแค้น

ซีรีส์นำเสนอและยืนยันว่ากำลังพูดถึงเหตุการนั้นอย่างแยบยล ด้วยการดำเนินเรื่องในเดือนมีนาคม 1945 ซึ่งตรงกับเหตุการณ์สุดรันทดที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกันเองอย่างเหี้ยมโหด และวางสัญลักษณ์เอาไว้เป็นเครื่องยืนยันหากใครจะสังเกตเห็น ว่านี่จ้ะ ฉันกำลังพูดถึงมันนั่นแหละ ก็ไอ้การทดลองสุดโหดนั่นแหละเธอ การทดลองที่ทำกับคนเป็น ๆ อย่างโหดร้าย และถูกเหยียบย่ำตั้งแต่การเรียกขานมนุษย์ทดลองในปฏิบัติการนี้ว่า ‘ท่อนซุง’ ที่แสดงออกถึงการดูหมิ่นและการไม่เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ก็แค่ท่อนไม้ไงล่ะ จะตัด หั่น สับ เลื่อนยังไงก็ได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้เคยถูกสร้างเป็นหนังฮ่องกงที่ทำเอาฮือฮากันลั่นโลก มาแล้ว เพราะความโหดที่กระทำต่อกันมันทะลุจุดโหดไปไหน ๆ ‘จับคนมาทำเชื้อโรค หรือ Men Behind the Sun’ จำกันได้ไหมล่ะคะ

ซีรีส์แห่งการตั้งคำถาม และสัญลักษณ์

เนื้อหาของซีรีส์กล่าวถึงการตามหาคนหาย ซึ่งถูกเชื่อมโยงไปที่เหตุการณ์ Unit 731 ที่ว่า และผนวกการทดลองนั้นไปสู่การสร้างอสุรกาย โดยในชื่อตอนแต่ละตอน ซีรีส์จะตั้งใจใช้คำว่า เส้นแบ่ง เป็นการตั้งคำถามในทุก ๆ ตอน เส้นแบ่งระหว่างการหลีกหนีและเผชิญหน้า, เส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่ว, ส้นแบ่งระหว่างความมุ่งมั่นและความหมกมุ่น อะไรก็ว่ากันไป ซึ่งในทุก ๆ ตอนจะสามารถตอบคำถามของชื่อตอนได้ โดยเปิดโอกาสให้คนดูสามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้อย่างอิสระ

เส้นแบ่ง…ต่าง ๆ ก็เปรียบเสมือนการตั้งคำถามให้คนดูได้หาคำตอบจากความรู้สึกภายในใจ เป็นซีรีส์ที่เน้นย้ำถึงการต่อสู้ โดยเฉพาะ การต่อสู้กับความรู้สึกภายในใจของตนเอง สู้กับสัญชาติญาณดิบ ซึ่งเราจะเห็นได้ชัด ๆ ในตอนที่ 6 เส้นแบ่งของสัญชาติญาณและความเป็นมนุษย์ เพราะเมื่ออสุรกายที่คร่าชีวิตมนุษย์อย่างไม่ใยดีถูกล่อออกมาจากที่ซ่อน สิ่งที่อสุรกายตนนั้นกระทำลงไปในเสี้ยววินาที มันเรียกน้ำตามากกว่าเสียงหวีดเพราะความกลัวเป็นไหน ๆ ดราม่าแหละค่ะซีรีส์เรื่องนี้ และเป็นดราม่าที่ตั้งใจสร้างขึ้นมาตอกย้ำความต่ำช้า ที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกันเองเพราะความโลภอย่างใจดำ เพื่อให้นายเหนือหัวพึงพอใจ เรียกว่าเป็นการนำเสนอที่เจ็บแสบส่งท้ายปี 2023 ของเกาหลีเขาเลยทีเดียว เป็นการตะโกนใส่หน้าแล้วด่าออกมาตรง ๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยกหางตัวเองว่าดีเลิศไปกว่าใคร เพียงแต่บอกว่าสิ่งที่เขาเคยเผชิญมามันยากจะลืมไปง่าย ๆ จริง ๆ และพวกเขาก็มีความเป็นมนุษย์ที่รู้จักเจ็บปวด รู้จักกลัว รู้จักการเสียสละ แต่ขณะเดียวกันเขาก็พร้อมจะหักหลังใครสักคนเพื่อเอาชีวิตรอด โดยใช้ ‘ควอนจุนแท็ก’ (วีฮาจุน)เป็นตัวละครที่บอกความรู้สึกนั้นได้ในซีนเดียว

ซีรีส์จงใจใช้อสุรกายเป็นสัญลักษณ์ให้ขบคิด คือคิดอีกแล้ว คิดทั้งเรื่องแหละค่ะเรื่องนี้ บอกได้เลยว่าใครที่คิดจะดูเพลิน ๆ ก็เพลินดี ไม่ต้องคิดตามให้เยอะแยะ แต่ถ้าใครอยากสัมผัสความรู้สึกที่ซีรีส์ตั้งใจสื่อ คิดตามเขาไปค่ะในแต่ละตอนที่อุตส่าห์ตั้งชื่อมาซะคล้องจอง เพราะสัตว์ร้ายในเรื่องคือตัวแทนของสัญลักษณ์ที่เขาตั้งใจสื่อ ที่เป็นได้ทั้งจับฉ่ายทางการเมือง เหยื่อของความโหดร้ายทารุณ การเสียสละของกลุ่มคนที่ถูกมองข้าม และการยอมทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดของมนุษย์ ซึ่งเชือมโยงไปถึงส่วนลึกภายในใจของพระ-นาง และตัวแสดงอื่น ๆ ที่บทได้ซ่อนนัยไว้ในคำพูดและการกระทำของแต่ละคนหมดแล้ว ซีรีส์มี 2 ซีซันนะคะ และซีซัน 1 ถูกแบ่งออกไปเป็น 2 พาร์ต คือพาร์ตแรกที่สตรีมอยู่ในขณะนี้ 7 ตอน และพาร์ตที่ 2 ของซีซัน 1 จะเริ่มสตรีมวันที่ 5 มกราคม อีก 3 ตอน บอกเลยว่าดำเนินเรื่องมา 7 ตอนแล้วยังไม่รู้ว่าซีรีส์จะพาเราไปจบที่ตรงไหน เมื่อซีรีส์เริ่มเรื่องมาที่ เดือนมีนาคม 1945 และผูกเรื่องเอาไว้ว่า การทดลองครั้งนี้สามารถสร้างตัวอย่างอาวุธชีวภาพได้อย่างที่ต้องการ แถมยังจะดำเนินต่อไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

มีทั้งคนที่เสียสละ มีคนหนีรอดและมีคนที่กำลังจะกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ใครก็ไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากตัวมันเอง อย่างน้อยก็อีก 1 ตัว อีกทั้งการเลือกที่จะทดลองกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และการเชิดชูหัวใจแม่ที่ซีรีส์สอดแทรกมาในบทแม่ของพระ-นาง ในซีนสั้น ๆ ที่โคตรจะจุกอก ก็เป็นความนัยที่ซ่อนเร้นได้น่าสนใจสุด ๆ และถ้านับจากเหตุการณ์ในเรื่องไปอีก 5 เดือน ก็จะไปถึงเหตุการณ์ที่ฝ่ายญี่ปุ่นแพ้สงครามแบบสิ้นรูปในเดือนสิงหาคม 1945 ในใจผู้เขียนนี่ลุ้นเลยค่ะว่าผู้สร้างซีรีส์เรื่องนี้อาจลากเส้นเรื่องไปจนถึงปี 1948 ที่เกาหลีถูกแบ่งประเทศเป็นเหนือ-ใต้ จนเกิดสงครามเกาหลีในปี 1950 ก็ไหน ๆ แต่ละตอนพี่แกเล่นใช้เส้นแบ่งเป็นสัญลักษณ์มาตลอดแล้ว มันก็น่าจะยิงยาวไปถึงการแบ่งประเทศที่ว่ารึเปล่าล่ะ อันนี้ผู้เขียนก็เดาล้วน ๆ เพราะไม่รู้เลยจริง ๆ ว่า ‘คังอึนคยอง’ นักเขียนบทมือทองของจริง ที่ฝากผลงานสุดเจ๋งไว้มากมายอย่าง ‘Dr. Romantic’ ทั้ง 3 ซีซัน จะสร้างเรื่องสร้างราวให้เราติดตามในทิศทางไหน

จุดเด่น

  • ไม่ใช่ซีรีส์สัตว์ประหลาด แต่เป็นดราม่าที่อาศัยเส้นแบ่งทางประวัติศาสตร์ มาใช้สัตว์ประหลาดเป็นตัวละคร
  • บทใช้การเปียบเปรย ใช้การสื่อสัญลักษณ์ให้ขบคิดได้แยบยล
  • นักแสดงไม่ต้องพูดถึง ฮันโซฮีและพัคซอจุน ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว

จุดสังเกต

  • CG สัตว์ประหลาดไม่เนียนหรอก แต่ก็พอที่จะควงไปกินต็อกบกกีตอนสาย ๆ ได้ พอแซ่บอยู่ gyeongseong creature

บทความที่เกี่ยวข้อง